ความไม่ซื่อตรงของคนในชาติ
ความไม่ซื่อตรงของคนในชาติ (๑)
พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์
เลขานุการคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา
กระบวนการวางแผน
“ยุทธศาสตร์” เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบคอบ
เพื่อกำหนดวิธีการบริหารองค์กรให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
โดยพิจารณาทั้งวิธีการที่เป็นศาสตร์และศิลป์
ด้วยเหตุนี้
จึงมีการประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และปัญหาอุปสรรค
หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นปากว่า SWOT
(Strength Weakness Opportunity Threat) เพื่อแสวงหา “ค่านิยมหลัก” (Core Value) กับความสามารถหลัก (Core Competency) และใช้คุณค่าเหล่านี้เป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรไปสู่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
หรืออาจกล่าวได้ว่า
การกำหนดยุทธศาสตร์องค์กร จะต้องมีทั้งการพัฒนาระบบบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพ
และการพัฒนาศักยภาพของคนให้เหนือกว่าคู่แข่งขัน
ถ้าพิจารณาจากบทเรียนของการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ผ่านมาแล้วคงต้องยอมรับว่า
ขั้นตอนที่ยากที่สุด คือ
การประเมินจุดอ่อนในเรื่องลักษณะนิสัยที่ไม่ดีของคนในองค์กรเพื่อพัฒนาศักยภาพของ
“คน”
ทั้งนี้เพราะคนเรามักจะไม่ค่อยยอมรับความจริงในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ Thales นักปราชญ์ชาวกรีกได้กล่าวไว้เมื่อสองพันปีก่อนว่า “สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตมนุษย์ คือ
การยอมรับความบกพร่องของตนเอง”
หลายองค์กรได้พยายามแก้ไขจุดอ่อนนี้ด้วยการใช้ “กระบวนการมีส่วนร่วม”
เพื่อให้ทุกคนคิดได้ด้วยตนเองว่า มีส่วนทำให้ยุทธศาสตร์ที่คิดไว้อย่างรอบคอบ
“ไม่สำเร็จ” และยอมปรับปรุงตนเอง
อย่างไรก็ดี
การไม่ยอมรับข้อบกพร่องของตนเองนั้น จะแปรผันตามประสบการณ์ของคน หรือ “ยิ่งสูง
ยิ่งมองไม่เห็น” ทั้งนี้ เนื่องจากคนเราเมื่อทำงานมานานมีประสบการณ์มากก็มี “อัตตา”
สูง จึงมักคิดว่าตนเก่งและดีกว่าผู้อื่น ไม่ยอมฟังใคร
รวมทั้งอาจไม่มีเวลามาสนใจและแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองด้วย
ดังนั้น
องค์กรขนาดใหญ่ระดับประเทศ จึงมักจะมีอุปสรรคในเรื่อง “ชนชั้นนำของประเทศ” (Elite) ไม่ให้ร่วมมือในการแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองเช่นเดียวกัน
ซึ่งส่งผลให้แผนยุทธศาสตร์ของประเทศที่วางไว้อย่างดีและสวยหรู ไปไม่ถึง “ดวงดาว”
ที่ปรารถนา
มาเลเซียเป็นประเทศหนึ่งที่พยายามจะแสวงหากลยุทธ์ในการแก้ไข “จุดอ่อน”
เรื่องนี้ ด้วยการศึกษาบทเรียนจากการพัฒนาประเทศของตนให้เป็น
“สังคมแห่งศีลธรรมและจรรยา” (Moral
and Ethic Society) ซึ่งได้เริ่มปลูกฝังค่านิยม ๗
ประการให้กับคนในชาติ คือ ความซื่อสัตย์ ความสามารถ ความน่าเชื่อถือ
ความไว้วางใจ ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความยุติธรรม ในปี
ค.ศ.1998-2003
บทเรียนทำให้มาเลเซียเรียนรู้ว่า
การปลูกฝังค่านิยมหรือคุณค่าหลายประการนั้นมีมาก ยากที่จะ “จดจำและทำ”
และชนชั้นนำของสังคมไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขความบกพร่องของตนเอง
ด้วยเหตุนี้ มาเลเซียจึงลดการปลูกฝังค่านิยมเหลือประการเดียว คือ
“ความซื่อตรง” (Integrity) ซึ่งเป็นคุณค่าพื้นฐานที่จะนำไปสู่ค่านิยมอีกหลายประการ เช่น
ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความสามารถ ความมีวินัย ความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือ
ฯลฯ
นอกจากนั้น ได้มอบให้นักสังคมศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคนในชาติ
๕ คน ไปทำการวิจัยแบบมีส่วนร่วม หรือจัดเวทีสาธารณะทั่วประเทศ
เพื่อหาคำตอบในประเด็นที่ว่า “ทำไมคนมาเลเซียจึงบกพร่องในเรื่องความซื่อตรง”
เพื่อเริ่มการวางยุทธศาสตร์การสร้างความซื่อตรงของคนในชาติ
จากการศึกษาเป็นเวลา ๑ ปี ได้ข้อสรุปว่า
สาเหตุหลักที่ทำให้คนในชาติไม่ซื่อตรงนั้น มีปัจจัย ๕ ประการ คือ ปัจจัยจากตัวบุคคล ปัจจัยจากภาวะผู้นำ ปัจจัยด้านระบบและกระบวนการ
ปัจจัยด้านโครงสร้างและสถาบันทางสังคม และปัจจัยด้านวัฒนธรรม
ในด้าน
“ปัจจัยจากตัวบุคคล” พบว่า
จุดอ่อนของคนนั้นถือว่า เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก
เพราะความเข้าใจผิดพลาดในเรื่องของศาสนาและชุดคุณค่าต่างๆ
รวมไปถึงการไร้ซึ่งคุณธรรมในการทำงาน ผสมผสานกับความโลภที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
ส่งผลให้บุคคลนั้นไม่สามารถที่จะก้าวถึงความ “ซื่อตรง” ได้
นอกจากนี้ ความซื่อตรงจะไม่สามารถเกิดขึ้น
ถ้าบุคคลนั้นยังคงใช้ความคิดของตนเองเป็นหลัก
หมกมุ่นกับการเพ็งเล็งจุดด้อยของผู้อื่นโดยปราศจากการประเมินจุดด้อยของตนเอง
และปฏิเสธการรับความรู้ทั้งปวงที่ถูกถ่ายทอดจากผู้อื่น
โดยมุ่งหวังแต่การเอาชนะจากความคิดของตนเองเพียงเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นความต้องการส่วนบุคคลในบางเรื่องบางประเด็น
ยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนทุจริตประพฤติมิชอบ
ซึ่งโอกาสที่จะมีการทุจริตจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก
หากบุคคลผู้นั้นไม่ได้ถือครองชุดคุณค่าที่พึงมีส่วน “ปัจจัยจากภาวะผู้นำ”
พบว่า
ภาวะผู้นำถือว่า
เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาวัฒนธรรมขององค์กรและพัฒนาชุดความคิดเรื่องความซื่อตรง
ผู้นำในระดับต่างๆนั้น
ควรจะมีบทบาทในการที่จะให้คำแนะนำและส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหากมีพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาในองค์กร
ซึ่งการขาดปัจจัยเหล่านี้จะมีผลต่อการทำให้เกิดความซื่อตรง
นอกจากนั้น ผู้นำพึงเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ตาม
ซึ่งผู้นำควรที่จะปฏิบัติตามครรลองของกฎหมาย และข้อกำหนดต่างๆ หากผู้นำนั้นเบี่ยงเบนการปฏิบัติจากแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
ก็จะส่งผลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความซื่อตรงแก่บุคคลอื่นต่อไป
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า สาเหตุหลักของปัญหาในการพัฒนาประเทศไปสู่
“สังคมแห่งความซื่อตรง” ที่มาเลเซียพบ คือ พฤติกรรมของคน
โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นนำของคนในสังคม ขาดความซื่อตรง
จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาดังกล่าว
และขยายขอบเขตจากภาครัฐไปสู่ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมมาเลเซีย
ถ้าหันกลับมาดู “สยามเมืองยิ้มของเรา” คงต้องยอมรับว่า
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ยังก้าวไปไม่ถึงการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาลักษณะนิสัยและค่านิยมของ “คน”
โดยเฉพาะกลุ่มชั้นนำของสังคม ซึ่งได้แก่ นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจชั้นนำ
ผู้นำท้องถิ่น และอื่นๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ อนาคตของประเทศจึงยังมืดมน
“ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เพราะเราไม่สามารถหาบุคคลต้นแบบในเรื่องความซื่อตรงของคนในสังคมได้
ใครจะเป็น “เจ้าภาพ” เรื่องนี้ดีครับ
------------------
เขียนให้ “โพสต์ทูเดย์”
๓ ต.ค.๕๓
ความไม่ซื่อตรงของคนในชาติ (๒)
วีรวิท คงศักดิ์
ในตอนที่แล้วได้เล่าให้ฟังถึง “แผนพัฒนาความซื่อตรงแห่งชาติ” (National
Integrity Plan) ของประเทศมาเลเซีย
ซึ่งเกิดจากงานวิจัยแบบมีส่วนร่วมเพื่อแสวงหาคำตอบของปัญหา
“ทำไมคนมาเลเซียจึงบกพร่องในเรื่องความซื่อตรง”
เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของคนไปแล้ว คือ ปัจจัยจากตัวบุคคล
และปัจจัยจากภาวะผู้นำ
คราวนี้มาต่อกันในเรื่องการพัฒนาระบบงานของประเทศ คือ
ปัจจัยเชิงระบบและกระบวนการ ปัจจัยด้านโครงสร้างและสถาบันทางสังคม
และปัจจัยด้านวัฒนธรรม
ในด้าน “ปัจจัยเชิงระบบและกระบวนการ” มาเลเซีย พบว่า
ระบบและกระบวนการนั้น ครอบคลุมหลายมิติด้วยกัน ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า มี ๖
มิติ ที่จะมีผลต่อความซื่อตรงของคนในชาติ
มิติแรก ความไม่โปร่งใสในการบริหารของภาครัฐ
โดยเริ่มจากกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
และกระบวนการบริหารผลประโยชน์สาธารณะที่ส่อไปในทางทุจริต เช่น การฮั้วประมูล
ฯลฯ
มิติที่สอง ความอ่อนแอของระบบ
กระบวนการและแนวทางสำหรับการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ที่ส่งผลให้การดำเนินงานนั้น
ไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีความสับสน
และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้
มิติที่สาม
ความไร้ประสิทธิภาพของบทลงโทษในกรณีที่เกิดการละเมิดกฎระเบียบข้อปฏิบัติ
ทำให้คนไม่เกรงกลัวต่อการกระทำความผิด
มิติที่สี่ การขาดกระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการบริหารราชการ
และการวัดประสิทธิภาพของโครงการและยุทธศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์และเหมาะสม
มิติที่ห้า ความไม่เพียงพอของทรัพยากรที่จำเป็นในการบริหาร
และการขาดศักยภาพของทรัพยากรบุคคล
และมิติที่หก
ความไม่ชัดเจนของกรอบกฎหมายที่นำไปบังคับใช้และความไม่สอดรับกับสภาพสังคมของกฎหมายบางฉบับ
ส่วน “ปัจจัยเชิงโครงสร้างและสถาบัน” พบว่า
โครงสร้างและสถาบันทางสังคมนั้น
จัดได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
โดยองค์กรต่างๆ
ควรจะมีโครงสร้างการทำงานที่เป็นระบบและมีเป้าหมายในการดำเนินงานอย่างชัดเจน
การวางผังองค์กรก็ควรจะจัดตั้งตามภารกิจที่ได้รับ
นอกจากนี้ ควรมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมื่อระยะเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
เพื่อให้สามารถที่จะสอดรับกับประเด็นหรือความท้าทายใหม่ที่จะผ่านเข้ามา
หน่วยงานได้ที่ไม่ได้มีการวางโครงสร้างไว้ให้ดีก็จะส่งผลให้เกิดการเปลืองทรัพยากรและทำให้ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดสรรและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
รวมถึงกรอบการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่แตกต่างกันเพราะการเหลื่อมล้ำกันของงานจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันความและขัดแย้งระหว่างองค์กรจนนำมาซึ่งการละทิ้งหน้าที่ได้
ท้ายที่สุดทำให้เปลืองทรัพยากรที่มีอยู่
การที่หน่วยงานใดมีเป้าหมายการดำเนินงานขัดแย้งกับอีกหน่วยงานหนึ่ง
จะส่งผลให้เกิดความไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงในการดำเนินงานได้
อันเนื่องมากจากการเกิดชุดความคิดที่แตกต่างกัน
สำหรับ “ปัจจัยด้านวัฒนธรรม” พบว่า
สภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ
เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและการรับชุดคุณค่าของบุคลากรตามสภาวะแวดล้อมใหม่
ซึ่งปัจจัยสำคัญประเด็นหนึ่งก็คือ วัฒนธรรม
อันหล่อหลอมขึ้นมาด้วยประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่ง
และการพัฒนาวัฒนธรรมร่วมสมัยก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น
วัฒนธรรมจึงควรมีการปรับเปลี่ยนตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนด้วย
วัฒนธรรมใดที่ให้ความสำคัญกับชุดคุณค่าที่เอื้อต่อความซื่อตรงก็จะทำให้บุคคลที่ยอมรับวัฒนธรรมนั้นสามารถที่จะเติบโตขึ้นมาในทิศทางดังกล่าวได้
แต่วัฒนธรรมใดที่ขาดการหล่อหลอมเรื่องดังกล่าวก็จะส่งผลให้เกิดการไม่รู้จักรับผิดชอบ
ซึ่งสามารถที่จะมีอิทธิพลต่อคนรอบข้างได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านปัจจัยเชิงระบบและขบวนการที่มาเลเซียพบแล้ว
จะเห็นว่า เป็นสิ่งที่สังคมไทยพูดกันมานานแล้ว และรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐
ได้บัญญัติไว้ในส่วนที่ ๓ แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน และส่วนที่ ๕
แนวนโยบายด้านกฎหมายและการยุติธรรม อย่างครบถ้วน
นอกจากนั้น
ยังมีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.๒๕๔๖
แนะนำแนวทางการปฏิบัติของส่วนราชการต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนปัจจัยด้านวัฒนธรรมนั้น พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.๒๔๘๕
ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๕ ให้บุคคลทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติตามวัฒนธรรมแห่งชาติ
และต้องผดุงส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของชาติ
โดยรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมตามประเพณีอันดีงาม
และช่วยกันปรับปรุงทะนุบำรุงให้ดียิ่งขึ้นตามกาลสมัย
แต่ทั้งสองเรื่องยังไม่มีผลสัมฤทธิ์ให้เห็น จึงอาจประเมินได้ว่า
ข้าราชการของรัฐผู้รับเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชน
ทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำ ยังขาด “ความซื่อตรงในหน้าที่” ซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงอธิบายความหมายไว้ในพระราชนิพนธ์
“หลักราชการ” ไว้ว่า
“ความซื่อตรงต่อหน้าที่ คือ ตั้งใจกระทำกิจการ
ซึ่งได้รับมอบให้เป็นหน้าที่ของตนนั้นโดยซื่อสัตย์สุจริต
ใช้ความอุตสาหวิริยภาพเต็มสติกำลังของตน ด้วยความมุ่งหมายให้กิจการนั้น ๆ
บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จโดยอาการอันงดงามที่สุดที่จะพึงมีหนทางจัดไปได้”
สำหรับปัจจัยเชิงโครงสร้างและสถาบันทางสังคมที่มาเลเซียค้นพบ
อาจเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษาและวาง “ระบบการกล่อมเกลาทางสังคม” (Socialization) มาก่อน
จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐควรให้ความสนใจและพิจารณานำมาประยุกต์ใช้ในโอกาสอันควร
แต่เรื่องทั้งหมดนี้จะเริ่มต้นได้ เมื่อทุกคนยอมรับในเบื้องต้นว่า
“คนไทยมีความบกพร่องในเรื่องความซื่อตรง”
---------------------
เขียนให้โพสต์ทูเดย์
๓ ต.ค.๕๓
ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 12:09:49 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 09:22:16 มีการเปิดอ่าน 17463 ครั้ง Share