จริยธรรมของนักการเมือง
“จริยธรรมของนักการเมือง”
พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์
เลขานุการคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา
หลายฝ่ายได้ประเมินสาเหตุของวิกฤติของชาติซึ่งเกิดขึ้นใน ๑๐ ปีที่ผ่านมาว่า
เกิดจากการที่คนในชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นปกครอง (Elite) ของประเทศ
“บกพร่อง” ในเรื่องคุณธรรม จึงมีความประพฤติที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
จนทำให้มีการทุจริต ประพฤติมิชอบ และใช้อำนาจโดยมิชอบมาก
ด้วยเหตุนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙
จึงบัญญัติไว้ว่า
“มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ
หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท
ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กำหนดขึ้น”
นอกจากนั้น
ยังบัญญัติให้มีกลไกและระบบในการบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพ
และหากเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรงให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรายงานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการ
โดยให้ถือว่าเป็นเหตุที่จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๗๐
บุคคล
“ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกำหนด
ได้แก่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง ซึ่งหมายถึง
คณะรัฐมนตรี/ผู้ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และผู้บริหาร/สมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามปกติการจัดทำประมวลจริยธรรมขององค์กรต่างๆ จะนำ “ค่านิยม”
ของผู้ตรวจการแผ่นดินมากำหนดมาตรฐานความประพฤติในรูปของพฤติกรรมที่ “ทำและไม่ทำ” (do &
don’t) ซึ่งอาจใช้คำว่า “ต้อง” “พึง” หรือ “ควร”
นำหน้าแล้วแต่ว่าต้องการบังคับให้ปฏิบัติมากหรือน้อยเพียงใด
มีเพียงประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น
ที่กำหนดมาตรฐานความประพฤติจาก “อุดมคติ” ที่คณะกรรมาธิการจัดทำร่างข้อบังคับฯ
กำหนดขึ้น และนำเข้าพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็น “มติ” ของที่ประชุมสภา จึงนับได้ว่า
เป็น “ฉันทานุมัติ” ที่สมาชิกของแต่ละสภา
และยอมรับที่จะนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนเกิดเป็นลักษณะนิสัยโดยดุษณีภาพ
ตามพจนานุกรม “อุดมคติ” หมายถึง จินตนาการที่ถือว่าเป็นมาตรฐานแห่งความดี ความงาม
และความจริง ทางใดทางหนึ่งที่มนุษย์ถือว่าเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของตน
ซึ่งประกอบด้วย “คติ” ที่หมายถึง วิธีการหรือแบบอย่าง และ “คุณค่า” หมายถึง
คุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ของสิ่งนั้น
ด้วยเหตุนี้
“อุดมคติ” จึงมีบทบาทสำคัญในด้านจริยธรรม
เพราะจะสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลนั้นได้อย่างชัดเจน
และเมื่อถูกนำมาใช้เป็นเป้าหมายของการพัฒนาจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
ก็จะทำให้เห็นการปฏิบัติตนและแบบอย่างที่ดีของคนในสภาอันทรงเกียรติทั้งสองในด้านจริยธรรมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น
“อุดมคติ” ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ยังเป็น “สัญญาประชาคม”
ที่สมาชิกรัฐสภาทั้งสองให้กับประชาชนว่า พร้อมที่จะประพฤติตนตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย
สำหรับ
“อุดมคติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
ที่ปรากฏอยู่ในข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ
พ.ศ.๒๕๕๓ มี ๖ ประการ คือ “ต้อง” เป็นแบบอย่างในเรื่อง
๑)
การจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๒)
การรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเคร่งครัด
๓)
การปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มขีดความสามารถ ด้วยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต
และเสียสละ โดยยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด
๔)
การรู้รักสามัคคี
๕)
การกล้ายืนหยัดในความถูกต้อง เป็นธรรม
ยึดมั่นหลักการในการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอคติใดๆ
๖)
การเสริมสร้างสถาบันครอบครัว
ถ้าพิจารณาถึงที่มาของอุดมคติ ๓ ประการแรก จะเห็นว่า
มาจาก“คำปฏิญาณตน”ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้กล่าวไว้เมื่อเข้ารับตำแหน่ง
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๓ ความว่า
“ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ส่วนอุดมคติ
๓ ประการหลัง มุ่งเน้นให้เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่อง รู้รักสามัคคี
กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และเสริมสร้างสถาบันครอบครัว
ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้ล้วนเป็นปัญหาสำคัญด้านสังคมของชาติที่ต้องได้รับแก้ไขทั้งสิ้น
จาก
“อุดมคติ” ๖ ประการนี้ ได้สังเคราะห์เป็น การปฏิบัติในหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ ๑๕
ข้อ และจริยธรรมเกี่ยวกับการดำรงตน ครอบครัว และผู้อื่นอีก ๘ ข้อ
มีข้อสังเกตว่า การเขียน “รู้รักสามัคคี” ควรติดกัน หรือควรเขียนแยกเป็นคำๆ
ว่า “รู้ รัก สามัคคี”
ทั้งนี้เพราะงานวิจัยของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เรื่อง
“พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เมื่อปี ๒๕๔๙
ได้เขียนว่า “รู้ รัก สามัคคี” โดยอธิบายว่า
“รู้
คือ การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้อง “รู้” เสียก่อน
รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหาและรู้ถึงวิธีการแก้ไขปัญหา
รัก คือ ความรัก เมื่อเรารู้ครบถ้วนกระบวนความ
แล้วจะต้องมีความรักการพิจารณาที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหานั้นๆ
สามัคคี คือ การที่จะลงมือปฏิบัตินั้น
ควรคำนึงเสมอว่า เราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานร่วมมือร่วมใจกันเป็นหมู่คณะ
จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี”
อย่างไรก็ดี
ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของคณะผู้ร่างข้อบังคับฉบับนี้ว่า
ต้องการสื่อในเรื่องใด
ส่วน
“อุดมคติของสมาชิกวุฒิสภา” ที่ปรากฏอยู่ในข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการพ.ศ.๒๕๕๓
มี ๔ ประการ ได้แก่
๑) ต้องจงรักภักดีต่อชาติ
ศาสนาและพระมหากษัตริย์ทั้งสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๒)
ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
๓) ต้องมีอุดมการณ์ในการทำงานเพื่อประเทศชาติ
และประชาชนอย่างเต็มความสามารถด้วยความรับผิดชอบ
ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุดเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
๔) ต้องวางตัวเป็นกลางในทางการเมือง
เมื่อพิจารณาอุดมคติของสมาชิกวุฒิสภา ๓ ประการแรก จะเห็นว่า
มาจากคำปฏิญาณตนของสมาชิกวุฒิสภาเช่นเดียวกับอุดมคติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนประการที่สี่ได้เพิ่ม ความเป็นกลางทางการเมือง
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา
จาก
“อุดมคติ” ๔ ประการนี้ ได้สังเคราะห์เป็นจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ ๘
ข้อ จริยธรรมต่อประชาชน ๒ ข้อ และจริยธรรมเกี่ยวกับการดำรงตน ๗ ข้อ
ถ้าพิจารณาตามสาระแล้ว จะเห็นว่า
ประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความสมบูรณ์ที่สามารถใช้เป็น“มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง”ได้
เพราะได้กำหนดอุดมคติไว้อย่างชัดเจนครบถ้วน และเน้นการปฏิบัติที่เป็น
“แบบอย่างที่ดี” ในด้านจริยธรรมให้กับสังคม
ซึ่งเป็นบทบาทและหน้าที่สำคัญของนักการเมืองในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ
สำหรับกลไกและระบบการบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพนั้น ทั้งสองสภามอบให้
“คณะกรรมการจริยธรรม” ที่แต่งตั้งขึ้นตามข้อบังคับ โดยกำหนดให้มีหน้าที่ ส่งเสริม
สนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามข้อบังคับฯ
รวมทั้งพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับจริยธรรมของสมาชิกของแต่ละสภาด้วย
ดังนั้น
ประชาชนจึงควรติดตามบทบาทของคณะกรรมการจริยธรรมของแต่ละสภาในการบังคับใช้ประมวลจริยธรรมอย่างใกล้ชิด
หากพบว่านักการเมืองผู้ใดมีปัญหาด้านจริยธรรม
โดยเฉพาะในกรณีที่สมาชิกรัฐสภาไม่ปฏิบัติตนตาม “อุดมคติ” ที่ให้สัญญากับประชาชนไว้
ก็สามารถร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินหรือคณะกรรมการจริยธรรมของแต่ละสภาได้โดยตรง
และที่สำคัญ คือ โปรดจำชื่อบุคคลผู้นั้นไว้ให้แม่น
แล้วอย่าเลือก“คนไร้จริยธรรม”กลับเข้ามาอีก
------------------
เขียนให้ “โพสต์ทูเดย์”
๓๑ ต.ค.๕๓
ข้อมูลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 09:29:20 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 00:00:00 มีการเปิดอ่าน 4128 ครั้ง Share