การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น
การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น
พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์
เลขานุการคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา
“คอร์รัปชั่นเป็นหินปูนร้ายที่กัดกินสังคมของเรามาโดยตลอด
เพราะเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ทำลายความเจริญก้าวหน้าของประเทศเรา ดังนั้น จึงยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้การคอร์รัปชั่นเป็นวัฒนธรรมในสังคมของเรา”
ข้อความนี้เป็นพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ บิน อัล-ฮุสเซน พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอัชไมต์จอร์แดน ที่มีถึงประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตชุดแรก ซึ่งทรงแต่งตั้งเมื่อปี ค.ศ.๒๐๐๗ หลังจากปรับปรุงกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.๒๐๐๓ และให้สัตยาบันเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญานี้
ถ้อยคำดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่จะขจัดการทุจริตให้หมดไปจากประเทศของพระองค์ จึงถูกนำมาเป็นปรัชญาในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตของจอร์แดนมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับความเป็นมาของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. ๒๐๐๓ (United Nations Convention
against Corruption 2003)
เกิดจากผลการพิจารณาในที่ประชุมสหประชาชาติว่า
ปัญหาและภัยคุกคามจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมโลกได้ทวีความรุนแรงขึ้น
ทำให้มีผลต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของสังคม
ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะของพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบัน
มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบในลักษณะเครือข่ายข้ามพรมแดนประเทศ
จึงควรสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและควบคุมปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
ด้วยเหตุนี้ อนุสัญญาฉบับนี้จึงถือกำเนิดขึ้น
โดยมีเป้าประสงค์ในการสร้างมาตรฐานกลางในการดำเนินการเพื่อป้องกันและปราบปรามพฤติกรรมที่เป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐภาคี
และเพื่อกำหนดแนวทางและวิธีการในการให้ความร่วมมือระหว่างกัน
ซึ่งอนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๖
หลังจากมีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ทุกประเทศเริ่มตื่นตัวกับการปรับปรุงกฎหมายเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาฉบับนี้
เนื่องจากมีความตระหนักร่วมกันและแสวงหาความร่วมมือในการขจัดภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและสังคมของสังคมโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้
ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ
โดยคณะรัฐมนตรีได้แสดงความพยายามการเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาฉบับนี้โดยเร็ว
ด้วยการมีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด
เป็นหน่วยงานหลักร่วมกันพิจารณาตรวจสอบพันธกรณีต่างๆ ตามอนุสัญญาฉบับนี้
และร่วมลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
ซึ่งเป็นวันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นโลก
ต่อมาในเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ กระทรวงยุติธรรมได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีว่า
สมควรแก้ไขกฎหมาย ๓ ฉบับ คือ (๑) ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่...) พ.ศ.... (๒) ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด
พ.ศ.... และ (๓)
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา
พ.ศ. ๒๕๓๕ (ฉบับที่...)
พ.ศ....พร้อมกับได้จัดทำร่างกฎหมายทั้งสามฉบับมาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย
ดังนั้น เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้
นำอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.๒๐๐๓
เสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๙๐
และให้กระทรวงต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ โดยระบุข้อสงวน (Reservation) ไว้ในสัตยาบันสารว่า
จะให้สัตยาบันอย่างสมบูรณ์เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบอนุสัญญาฯ
และกฎหมาย ๓ ฉบับนี้ ได้ใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ถือได้ว่า
เป็นการกำหนดขั้นตอนการดำเนินการเพื่อให้มีกฎหมายรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญาฯ
อย่างเป็นรูปธรรม
ในปี ๒๕๕๓
ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ครั้งที่
๑๔ (14th International
Anti-Corruption : IACC.) ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
จึงเสนอต่อรัฐบาลให้มีการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ๓ ฉบับนี้
เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติฯ
ซึ่งจะมีผลให้ประเทศไทยสามารถลงนามในสัตยาบันได้อย่างสมบูรณ์
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้เหตุผลว่า
มีประเทศที่ให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตแล้ว ๑๔๑
ประเทศ เหลือเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ยังไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาฯ
และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพียง ๓ ประเทศ คือ ประเทศไทย ประเทศสิงคโปร์
และประเทศพม่า
และการที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมนานาชาติเพื่อต่อต้านการทุจริต
ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมมาแล้วเกือบ ๗ ปี แต่ยังไม่ลงสัตยาบันเป็นรัฐภาคี
จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศในด้านการแสดงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐบาลไทยในการต่อต้านการทุจริตต่อประชาคมโลก
ดังนั้น
ในคราวประชุมเตรียมความพร้อมในการจัดประชุมนานาชาติดังกล่าวเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม
๒๕๕๓ นายกรัฐมนตรีและประธาน ป.ป.ช. ในฐานะประธานในการประชุมร่วม
ได้เห็นชอบในหลักการให้สำนักงาน ป.ป.ช.
นำเสนอความเห็นเกี่ยวกับการเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฯ
โดยมิต้องรอการแก้ไขกฎหมายอนุวัติการทั้ง ๓
ฉบับให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ในที่สุดเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาว่า ความ
“สุ่มเสี่ยง” ของการไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ
โดยเฉพาะในกรณีที่ประเทศไทยได้รับการร้องขอจากรัฐภาคีอื่น
ให้ดำเนินการในส่วนที่ไม่มีกฎหมายรองรับนั้น มีน้อยกว่าประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับในแง่ภาพลักษณ์และความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านการทุจริตที่จะเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาบริบทของอนุสัญญาฯ แล้ว จะเห็นได้ว่า มีลักษณะยืดหยุ่นมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ
เข้าเป็นภาคีได้โดยยังไม่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีได้สมบูรณ์
และไม่มีบทลงโทษในกรณีที่รัฐภาคีไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีได้ครบถ้วน
มีเพียงกลไกควบคุมติดตามผลการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
เพื่อเสนอแนะและให้ความช่วยเหลือให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ
ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ เรื่อง
การให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย
โดยให้เร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ
โดยมิต้องรอให้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม ๓ ฉบับ มีผลใช้บังคับก่อน
แต่ไม่ได้ระบุว่า
กฎหมายเหล่านี้จะผ่านรัฐสภาและมีผลใช้บังคับเมื่อใด
ลองมาดูความ “สุ่มเสี่ยง”
จากความกังวลของส่วนราชการต่างๆ ที่เป็นผู้ปฏิบัติ หน่วยแรก สำนักงานอัยการสูงสุด
ได้เสนอข้อกฎหมายที่เป็นข้อขัดข้องในการดำเนินคดีและการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา
และการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ๕ ประการ คือ (๑)
การใช้บังคับทางกฎหมายกรณีสินบนต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ (๒) การติดตามทรัพย์สินคืน (๓) อายุความ (๔) การอายัด การยึด และการริบทรัพย์สิน และ (๕)
มาตรการติดตามทรัพย์สินคืนโดยตรง
พร้อมกันนั้น ได้แสดงความกังวลที่สอดคล้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เมื่อประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแล้ว ประเทศภาคีต่างๆ สามารถมีคำร้องขอให้ประเทศไทยดำเนินการต่างๆ ตามอนุสัญญาฯ ได้ทันที ซึ่งหากประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการให้ตามคำร้องขอของประเทศภาคีดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายภายในรองรับแล้ว อาจถูกกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ หรือละเมิดอนุสัญญาฯ ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
ส่วนกระทรวงต่างประเทศให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรใช้ความพยายามอย่างเต็มที่
และให้ความสำคัญระดับสูงแก่การเร่งรัดผลักดันการออกกฎหมายอนุวัติการตามอนุสัญญาฯ
ทุกฉบับให้แล้วเสร็จ ก่อนที่จะให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ
มาถึงวันนี้ประเทศไทยได้ลงนามในสัตยาบันเรียบร้อยแล้ว
โดยที่ยังไม่ได้ปรับปรุงกฎหมายอนุวัติการตามอนุสัญญาต่อต้านการทุจริตของสหประชาชาติ
จึงเป็นเหตุที่ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะ “สุ่มเสี่ยง”
ที่รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันเห็นว่า “ยอมรับได้”
แต่ข้าราชการประจำซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติยังมีความกังวลอยู่
ประเด็นที่น่าคิด คือ รัฐบาลเปรยว่า จะยุบสภาในเร็ววันนี้
ซึ่งจะส่งผลให้กฎหมายสำคัญ ๓ ฉบับที่รอการพิจารณาจากรัฐสภานี้ตกไปโดยปริยาย
จนกว่ารัฐบาลหน้าจะหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่
และประเทศไทยของเราก็ต้อง “สุ่มเสี่ยง”
ต่อการสูญเสียเกียรติศักดิ์ศรีในเวทีการเมืองโลกซึ่งเป็น “ผลประโยชน์ของชาติ”
อีกต่อไป
เรื่องนี้คงต้องใช้มาตรการทางสังคม “ต่อต้าน”
พรรคการเมืองที่ไม่ยอมประกาศว่า จะออกกฎหมายเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างสมบูรณ์เมื่อใด
ด้วยการไม่เลือกพรรคการเมืองเหล่านั้น
เข้ามาเป็นผู้แทนของพวกเราในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
------------------
เขียนให้ “โพสต์ทูเดย์”
๗ ก.พ.๕๔
ข้อมูลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 09:32:23 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 00:00:00 มีการเปิดอ่าน 2774 ครั้ง Share