ก่อนถึง...วันยุบสภาฯ
“ก่อนถึง...วันยุบสภาฯ”
วีรวิท คงศักดิ์
หลังจากทนการรบเร้าจากกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลให้
“ยุบสภาผู้แทนราษฎร” มาสองปีเศษ ในที่สุดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ได้ประกาศว่า จะทูลเกล้าฯ ถวายพระราชกฤษฎีกายุบสภาในต้นเดือนพฤษภาคม
เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปประมาณปลายเดือนมิถุนายน
ในเรื่องนี้ทำให้ต้องมีการบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยว่า
เป็นการยุบสภาฯ แบบ “ล่วงหน้า” เป็นครั้งแรก
ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้รัฐบาลมีเวลาในการวางแผนป้องกัน แก้ไข
และบรรเทาผลกระทบของการยุบสภาฯที่มีต่อการบริหารราชการแผ่นดินและประโยชน์สุขของประชาชน
นอกจากนั้น
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีเป็นการอธิบายให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป
รวมทั้งนักการเมืองที่เรียกร้องให้ยุบสภาฯ เข้าใจตรงกันว่า การยุบสภาฯ ไม่ใช่
“อำนาจ” ของนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้
เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๘ ได้บัญญัติว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่”
โดยให้ “กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา” ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวัน
จากข้อกฎหมายดังกล่าว จะเห็นว่า นายกรัฐมนตรี
เป็นเพียงผู้นำความกราบบังคมทูลสถานการณ์ที่ต้อง “ยุบสภาฯ”
เพื่อขอพระราชทานพระราชวินิจฉัยเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจยุบสภาอย่างที่เข้าใจกัน
อย่างไรก็ดี
ตามประเพณีการปกครองของนานาอารยะประเทศ การยุบสภาฯ
จะกระทำเมื่อฝ่ายบริหารมีข้อขัดแย้งกับฝ่ายนิติบัญญัติอย่างรุนแรงจนกระทั่งไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้เท่านั้น
แต่ในระยะหลังมีการยุบสภาฯ
ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อปรับห้วงเวลาในการเลือกตั้งเพื่อมิให้งานสำคัญของประเทศต้องหยุดชะงักในระหว่างการเลือกตั้ง
จึงทำให้บางท่านเข้าใจว่า สามารถนำการยุบสภาฯ
มาเป็นกลยุทธ์เพื่อชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งได้
เมื่อพรรครัฐบาลมีคะแนนนิยมจากประชาชนสูง
เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเพณีใหม่ที่ฝ่ายบริหารของบางประเทศนำมาใช้
และบ้านเราได้ขยายต่อเป็น “คืนอำนาจให้กับประชาชน” โดยเรียกร้องให้ยุบสภาฯ
เมื่อไม่พอใจผลของการให้ความเห็นชอบการเป็นนายกรัฐมนตรีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑๗๒
พัฒนาการในเรื่องนี้ จึงกลายเป็นการนำระบบยุบสภาฯ มาใช้
เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ด้วยการขอให้มีการเลือกตั้งใหม่
เพื่อให้ได้ผู้ให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีชุดใหม่
ซึ่งจะส่งผลให้ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ต้องการ
และแน่นอนว่ากลุ่มการเมืองที่เรียกร้องนี้ก็จะเข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศด้วย
เมื่อถึงจุดนี้ ทำให้ไม่แน่ใจว่าหลังการเลือกตั้งทั่วไป
ถ้าได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ได้รับความเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งไม่ใช่คนที่ต้องการแล้ว จะมีการชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องให้มีการยุบสภาฯ
อีกหรือไม่
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า ประชาธิปไตยของเรายังไม่มีการพัฒนา
เพราะนักการเมืองมีความรู้แต่เพียงการเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจ
ซึ่งเป็นปฐมบทของการเมืองการปกครองเท่านั้น ยังก้าวไปไม่ถึงวิธีการบริหารจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าและทรัพยากรของชาติ
ให้กับประชาชนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกันตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เกิด “ประโยชน์สุข”
กับประชาชนอย่างแท้จริง
โดยลืมไปว่า
ประชาชนเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเพื่อพิจารณาออกกฎหมายที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
จึงต้องให้ความสนใจกับการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายและการประชุมสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบกฎหมายมากกว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีหรืองานอื่น
นอกจากนั้น
นักการเมืองยังไม่ให้ความสนใจต่อผลกระทบของการยุบสภาที่ทำให้ร่างพระราชบัญญัติทุกฉบับที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาและยังไม่ได้รับการลงพระปรมาภิไธยต้อง
“ตกหมด” ซึ่งหมายความว่า กฎหมายที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองมาเป็นเวลานาน
และใช้งบประมาณไปจำนวนมาก ไม่เกิดคุณค่าต่อการบริหารบ้านเมืองเลย
ดังนั้น
ก่อนการยุบสภาฯ รัฐบาลในฐานะผู้เสนอกฎหมาย
จะต้องหาหนทางบริหารจัดการให้กฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาสามารถผ่านกระบวนการออกมามีผลใช้บังคับให้ได้มากที่สุด
ถ้าพิจารณาเงื่อนเวลาที่นายกรัฐมนตรีกำหนดยุบสภาฯ
โดยสงวนเวลาเพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๐
ในเดือนพฤษภาคม จะเห็นว่า
วุฒิสภาต้องพิจารณากฎหมายให้เสร็จหมดภายในการประชุมวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน
เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรมีเวลาในการให้ความเห็นชอบการแก้ไข(ถ้ามี)
หรือตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ พิจารณาปรับแก้ข้อความที่ยังเห็นไม่ตรงกัน
ส่วนสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องเร่งรัดพิจารณากฎหมายที่วุฒิสภากลั่นกรองแล้วทั้งหมดภายในเดือนเมษายน
ซึ่งเป็น “ความท้าทาย” ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “ต้อง” ฝ่าฟันให้ผ่านพ้นไปให้ได้
เพื่อแสดงผลงานให้ประชาชนเชื่อถือศรัทธาเลือกกลับเข้ามาจัดทำกฎหมายอีก
อย่างไรก็ดี
รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๓ วรรคสองและวรรคสามได้บัญญัติให้
บรรดากฎหมายที่ค้างอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภานี้ จะพิจารณาต่อไปได้
“ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป
และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย”
เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองทุกพรรคต้องมาทำสัญญาสุภาพบุรุษร่วมกันว่า
ใครเข้ามาเป็นรัฐบาล ต้องเร่งรัดดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๓ ตามกำหนด
เพื่อให้กฎหมายที่ค้างอยู่ในรัฐสภาสามารถดำเนินการต่อไปได้ “ประโยชน์สุขของประชาชน” ก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ในด้านงานบริหาร
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติห้ามคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งในกรณีอายุสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
ใช้อำนาจโดยมิชอบไว้ในมาตรา มาตรา ๑๘๑
โดยห้ามมิให้โยกย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐและงานสำคัญ คือ
“(๒)
ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(๓) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ
หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
(๔)
ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง
และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด”
จากข้อกฎหมายดังกล่าว จะเห็นว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในอนุมาตรา (๒) (๓)
และ(๔) ส่งผลโดยตรงต่อการบริหารราชการแผ่นดินระหว่างที่มีการเลือกตั้งมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อำนาจรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนผู้ยากไร้ที่กำลังประสบกับความเดือดร้อน
และการบริหารประเทศยามฉุกเฉิน
ทั้งนี้
เพราะโครงสร้างการบริหารราชการของประเทศไทยใช้แบบหน้าที่ (Function) ซึ่งมีข้อดีในด้านความเชี่ยวชาญในงานมาก
แต่มีจุดอ่อนในการบูรณาการอำนาจรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น
การแก้ไขและเยียวยาผู้ประสบสาธารณภัย งานด้านความมั่นคงต่างๆ
การเจรจาข้อตกลงกับต่างประเทศ ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้
รัฐบาลจึงแก้ไขด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการทำงานเชิงบูรณาการ
โดยให้รัฐมนตรีเป็นประธานสั่งการในเรื่องการใช้อำนาจรัฐให้ประสานสอดคล้องกัน
ซึ่งคณะกรรมการนี้มีมากมายเป็นร้อยคณะ
เมื่อรัฐธรรมนูญมีเงื่อนไขจำกัดการใช้อำนาจของรัฐมนตรีระหว่างการเลือกตั้ง
จึงเป็นอุปสรรคในการทำงานของคณะกรรมการเหล่านี้โดยตรง
และต้องรอไปจนกว่ารัฐบาลใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๖ แล้ว
ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๓ เดือนหลังจากวันยุบสภาฯ
จึงใช้อำนาจรัฐได้
ดังนั้น
รัฐบาลควรพิจารณาร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เกี่ยวกับปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินตามมาตรา ๑๘๑ให้ชัดเจนว่า
เรื่องใดรัฐมนตรีรักษาการสั่งการได้
เรื่องใดที่ไม่สามารถสั่งการได้เพราะอาจเป็นการใช้อำนาจรัฐ “ซื้อเสียง”
เรื่องใดควรมอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงสั่งราชการแทนตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
เพื่อมิให้กิจกรรมของรัฐเพื่อประชาชนต้องหยุดชะงักระหว่างการเลือกตั้ง
เรื่องสำคัญที่ต้องตกลงกัน คือ
การดำเนินการโดยคณะกรรมการที่ต้องใช้นโยบายหรืออำนาจดุลยพินิจของนักการเมืองโดยตรงที่
“รอไม่ได้” เช่น การช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
การแก้ปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเจรจาชายแดนกัมพูชา (JBC.) การประชุมมรดกโลกในเดือนมิถุนายน การควบคุมราคาสินค้าที่แพงขึ้นมาก
นโยบายราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างไม่หยุด เป็นต้น
เมื่อทำทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงทูลเกล้าฯถวายพระราชกฤษฎีกา
“ยุบสภาฯ”
------------------
เขียนให้ “โพสต์ทูเดย์”
๑๘ เม.ย.๕๔
ข้อมูลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 09:38:01 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 00:00:00 มีการเปิดอ่าน 2454 ครั้ง Share