มาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง
“มาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง”
พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๙
ได้บัญญัติให้มี “มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”
ในประมวลจริยธรรมที่กำหนดขึ้น
โดยต้องมีกลไกและระบบในการดำเนินงานเพื่อบังคับใช้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ
โดยให้ถือเป็นเหตุที่จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๗๐ ด้วย
เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ.๒๕๔๒ กำหนด
และเป็นผู้ใช้อำนาจดุลยพินิจในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา
๒๗๔ จึงควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ
“มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ให้ชัดเจนก่อน
ถ้าพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม คำว่า
“มาตรฐาน” หมายถึง “สิ่งที่กำหนดเป็นหลัก ยึดถือเป็นแบบแผนได้” และ “จริยธรรม”
หมายถึง “ธรรมที่เป็นข้อควรปฏิบัติ”
ดังนั้น
“มาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” จึงหมายถึง
“ข้อควรปฏิบัติที่เป็นธรรมชาติซึ่งกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดถือปฏิบัติ”
โดยในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะ “นักการเมือง” ระดับชาติ ๓ กลุ่ม ได้แก่ ข้าราชการการเมือง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา
นักการเมืองกลุ่มแรก คือ “ข้าราชการการเมือง” ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
และข้าราชการการเมืองอื่นที่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง
คนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้บังคับของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง
พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งนำค่านิยมหลัก ๙ ประการในมาตรฐานจริยธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน
มากำหนดเป็นมาตรฐานจริยธรรมของข้าราชการการเมือง ๒๓ ข้อ โดยค่านิยมหลัก ๙
ประการที่นำมาอ้างอิง ได้แก่
(๑)
ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(๒)
ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม
(๓)
มีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ สุจริต และรับผิดชอบ
(๔)
ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตนและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
(๕)
ยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และถูกกฎหมาย
(๖)
ให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไม่เลือกปฏิบัติ
(๗)
ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง
และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง
(๘)
มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้
(๙)
ยึดมั่นในหลักจรรยาของการเป็นข้าราชการการเมืองที่ดี
กลุ่มที่สอง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
อยู่ภายใต้บังคับของข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ
พ.ศ.๒๕๕๓ ซึ่งสาระสำคัญได้กำหนด “อุดมคติ” ที่มุ่งเน้นการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม
๖ ประการ และสังเคราะห์มาเป็น
การปฏิบัติในหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ ๑๕ ข้อ
และจริยธรรมเกี่ยวกับการดำรงตน ครอบครัว และผู้อื่นอีก ๘ ข้อ
อุดมคติ ๓ ประการแรก
มุ่งเน้นให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมในเรื่องที่ได้ปฏิญาณตนไว้เมื่อเข้ารับตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑๒๓ กล่าวคือ
“ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ส่วนอุดมคติ ๓ ประการหลัง มุ่งเน้นให้เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่อง
รู้รักสามัคคี (ที่ถูกต้องควรเขียนว่า “รู้ รัก สามัคคี”)
กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และเสริมสร้างสถาบันครอบครัว
สำหรับนักการเมืองกลุ่มที่สาม คือ “สมาชิกวุฒิสภา”
อยู่ภายใต้บังคับของข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการพ.ศ.๒๕๕๓
ซึ่งสาระสำคัญได้กำหนด “อุดมคติ” ๔ ประการ
และสังเคราะห์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา ๘ ข้อ จริยธรรมต่อประชาชน ๒
ข้อ และจริยธรรมเกี่ยวกับการดำรงตน ๗ ข้อ
อุดมคติของสมาชิกวุฒิสภา ๓ ประการแรก
มาจากคำปฏิญาณตนของสมาชิกวุฒิสภาเช่นเดียวกับอุดมคติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และเพิ่มประการที่สี่ คือ ความเป็นกลางทางการเมือง
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองทั้งสามกลุ่ม
มีความแตกต่างกัน ตั้งแต่อุดมคติหรือค่านิยมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐานจริยธรรม
ทำให้บทบังคับมีความแตกต่างกัน และ บางส่วนซ้ำซ้อนกับ “วินัย” เช่น
ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุม หรือการรักษาความลับ เป็นต้น
อีกทั้งไม่มีการกำหนดความผิดจริยธรรมที่ “ร้ายแรง” ไว้
จึงทำให้เป็นการยากที่จะวินิจฉัยว่า กรณีใดจะเข้าเกณฑ์ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๙
กำหนดให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
นอกจากนั้น ตามปกติประมวลจริยธรรมจะต้องสะท้อนหลักสำคัญของ “จรรยาบรรณ”
ที่หมายถึง “ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก
อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้” โดยจะกำหนดเป็น “สิ่งที่ควรทำ” และ
“สิ่งที่ไม่ควรทำ” (Do & Don’t) ที่ชัดเจนสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
แต่ประมวลจริยธรรมทั้งสามฉบับยังไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
จึงเป็นการยากที่บุคคลที่เกี่ยวข้องจะนำไปปฏิบัติจนเป็น “ลักษณะนิสัย” (Attribute) และพัฒนาไปสู่
“จิตวิญญาณ” (Spiritual)
เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้อาจสรุปได้ว่า
ประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาวิจัยเพื่อกำหนดค่านิยมพื้นฐานของนักการเมือง
และนำไปกำหนด “มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง” ที่ชัดเจน
ในเรื่องนี้
สภาขุนนางหรือวุฒิสภาอังกฤษได้มอบให้คณะกรรมาธิการว่าด้วยมาตรฐานชีวิตสาธารณะ
(Committee on Standards in Public
Life) วุฒิสภา ศึกษาและกำหนด
“หลักการทั่วไปแห่งการประพฤติตนของบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะ” ๗ ประการ
ดังนี้
(๑) การไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน (Selflessness) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะพึงตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
โดยไม่ควรหวังผลให้ตนเอง ครอบครัว หรือพวกพ้อง
ได้รับประโยชน์ที่เป็นเงินหรือสิ่งของอื่น
(๒) ความซื่อตรง
(Integrity) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะต้องไม่มีพันธะทางการเงินหรือข้อผูกมัดอื่น ๆ
กับบุคคลหรือองค์กรภายนอก
อันจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการของตน
(๓) การไม่มีอคติ
(Objectivity) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะพึงดำเนินกิจการสาธารณะโดยเลือกในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักคุณธรรม
ซึ่งรวมถึง การแต่งตั้งบุคคลภายนอก การคัดเลือกผู้ชนะการประมูลในการจัดซื้อจัดจ้าง
หรือการแนะนำบุคคลเพื่อรับรางวัลและประโยชน์ตอบแทน
(๔) การมีสำนึกรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติตามหน้าที่ (Accountability) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อ การตัดสินใจและการกระทำของตนที่เกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณะ
และต้องยินยอมให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ในทุกกรณีอย่างเหมาะสม
(๕) ความเปิดเผยและจริงใจ (Openness) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะพึงตัดสินใจและกระทำการใด ๆ โดยเปิดเผย
มีเหตุผลรองรับ
และจำกัดการให้ข้อมูลเฉพาะในกรณีที่เป็นความต้องการเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
(๖) ความซื่อสัตย์
(Honesty) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะมีหน้าที่เปิดเผยผลประโยชน์หรือทรัพย์สินส่วนตัวที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานสาธารณะให้สาธารณชนทราบ
และพึงดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของส่วนรวม
(๗) ความเป็นผู้นำ
(Leadership) ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะพึงส่งเสริมและสนับสนุนหลักการเหล่านี้ด้วยการปฏิบัติตนเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดี
หลักการทั่วไป ๗ ประการนี้ เป็น “มาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง”
ที่อังกฤษใช้อยู่ และเป็นหลักเกณฑ์ในการสอบสวนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า
นักการเมืองมีพฤติกรรมละเมิดประมวลจริยธรรมด้วย
นอกจากนั้น จุดเด่นของประมวลจริยธรรมวุฒิสภาอังกฤษ (Code of Conduct for Members of House of Lords) อีกประการหนึ่ง คือ มีแนวทางการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรม (Guide to the Code of Conduct) เพื่ออธิบายวิธีการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมที่มีลักษณะเป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
พร้อมกับยกตัวอย่างและวิธีวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจน
ทำให้ไม่มีความสับสนเมื่อนำไปปฏิบัติ
แนวคิดการกำหนด “มาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง” ด้วยการศึกษาวิจัย
และมีการเขียนแนวทางการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมเพื่อแนะนำให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่วุฒิสภาอังกฤษใช้อยู่นี้
เป็นเรื่องที่ควรนำมาศึกษาเพื่อปรับปรุงประมวลจริยธรรมของนักการเมืองไทยให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น
เพราะนอกจากจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว
และจะช่วยให้ประชาชนยอมรับ “คุณงามความดีของนักการเมือง”
มากขึ้นอีกด้วย
-------------------
ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 11:51:53 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 11:57:38 มีการเปิดอ่าน 4742 ครั้ง Share