มหันตภัยของชาติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
มหันตภัยของชาติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
วีรวิท คงศักดิ์
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑
ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(
ป.ป.ช.
)ได้เผยแพร่ผลสำรวจทัศนะของภาคธุรกิจที่มีต่อสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
ที่ได้จากการจ้างให้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของภาคเอกชนที่มีต่อสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ มาจากกลุ่มตัวอย่างภาคธุรกิจ (การผลิต
การบริการ และการค้า) ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๔๑๑ ตัวอย่าง
สรุปผลการสำรวจเบื้องต้นในภาพรวมของสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นพบว่า แม้สถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่สถานการณ์ทุจริตกลับเพิ่มขึ้นกว่ารอบ ๑๒
เดือนที่ผ่านมา
โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๘.๓
ยังคงให้เงินเพิ่มพิเศษ/เงินสินบนแก่ข้าราชการที่ทุจริต และร้อยละ ๑๐.๕ ระบุว่า ต้องให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด และข้าราชการเรียกร้องสินบนเพิ่มขึ้น
ส่วนหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างจ่ายเงินพิเศษคิดเป็นร้อยละของจำนวนครั้งที่ติดต่อสูงสุด
๕ ลำดับแรกได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล กรมที่ดิน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และตำรวจทางหลวง/จราจร
สำหรับจำนวนเงินพิเศษที่นักธุรกิจจ่ายให้แก่หน่วยงานต่างๆ
พิจารณาเฉพาะหน่วยธุรกิจที่มีประสบการณ์การจ่ายเงินพิเศษพบว่า
หน่วยธุรกิจจ่ายเงินพิเศษเฉลี่ยต่อปีจำนวนสูงสุดให้แก่ นักการเมืองที่มีอิทธิพลต่อกิจการกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี
(กรมเจ้าท่า) กรมสรรพากร
กรมศุลกากร และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามลำดับ
และจ่ายเงินพิเศษเฉลี่ยต่อครั้งเป็นจำนวนที่สูงให้แก่ กรมสรรพากร นักการเมืองที่มีอิทธิพลต่อกิจการกรมสรรพสามิต
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กรมทะเบียนการค้า) และกรมการปกครองตามลำดับ
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า
นักธุรกิจพบเห็นวิธีการและการทุจริตคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่างๆ ที่มากที่สุด ได้แก่ การใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการฝากลูกหลาน ญาติพี่น้องเข้าทำงานในหน่วยงานของตน
ในด้านรูปแบบที่พบเห็นค่อนข้างมาก ได้แก่ (๑) การทุจริตเชิงนโยบาย โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
การใช้อำนาจและหน้าที่ในตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน หรือ ทางการเมือง (๒)
การแทรกแซงครอบงำของฝ่ายการเมือง (๓)
การร่วมกันนำเสนอช่องทาง/โครงการที่มีงบประมาณรวมขนาดใหญ่มากขึ้น (๔)
การรับสินบนซึ่งส่งผลให้มีการตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้จ่ายสินบน (๕)
การส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้ร่วมงานแสวงหาประโยชน์ส่วนตน (๖)
การรับส่วยและการเรียกรับทรัพย์สินและเงินทองจากประชาชน (๗) การวิ่งเต้นขอตำแหน่งในวงราชการ และ (๘)
การทุจริตในการประมูลงานของรัฐ
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจส่วนใหญ่ระบุว่า
สถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบันมีผลกระทบในแง่ลบต่อการดำเนินธุรกิจเล็กน้อยถึงไม่มีผลกระทบเลย
และพร้อมจ่ายเงินอย่างไม่เป็นทางการให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ คิดเป็นเงินร้อยละ
๑-๑.๙๙ ของรายรับทั้งหมดต่อปี
และยอมรับว่า การจ่ายเงินพิเศษเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
จนเป็นที่รู้กันว่า ควรจ่ายเท่าไร จ่ายอย่างไร โดยไม่ต้องมีใครเอ่ยปาก
ขณะที่ส่วนใหญ่เมื่อจ่ายเงินแล้วธุรกิจมักจะได้รับการอำนวยความสะดวกตามที่ตกลงกันไว้
จากรายงานฉบับนี้
ถึงแม้ว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในครั้งนี้มีจำนวนไม่มากนัก
และเป็นเพียงผลการสำรวจเบื้องต้นเท่านั้น ยังต้องสำรวจความคิดเห็นของภาครัฐ
รวมไปถึงนักการเมืองด้วย เพื่อให้ได้ความคิดเห็นในมุมมองที่หลากหลายรอบด้าน
จึงจะสรุปสถานการณ์การทุจริต ประพฤติมิชอบที่แท้จริงได้
แต่ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องที่หัวหน้าส่วนราชการที่ถูกระบุในรายงานฉบับนี้
ทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำ “ต้อง” ให้ความสนใจและทำการแก้ไขโดยด่วน
หรือจะออกมาปฏิเสธต่อสาธารณะให้ชัดเจนก็ได้ว่า“ไม่จริง”
ทั้งนี้เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่
ป.ป.ช.เพิ่งเปิดเผยเป็นครั้งแรกหรือเป็นข้อกล่าวหา “ใหม่”
โดยเรื่องนี้ ป.ป.ช.เคยเปิดเผยเมื่อวันที่ ๕-๖ มิถุนายน ๒๕๕๒
และได้นำมาเผยแพร่ในคอลัมน์นี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ ในชื่อ
“มหันตภัยที่นำชาติไปสู่หายนะ” ซึ่งมีข้อความคล้ายคลึงกันว่า
จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจกับหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการ พบว่า
หน่วยงานรัฐ ๕ แห่งที่มีคอร์รัปชั่นมากที่สุด คือ ตำรวจทางหลวง/จราจรและตำรวจอื่นๆ
๔๐.๓% นักการเมือง ๑๗.๔% กรมศุลกากร ๑๒.๒% องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ๗.๘% และกรมที่ดิน
๗%
หน่วยงานภาครัฐที่ผู้ประกอบการ ต้องจ่ายเงินพิเศษให้มากที่สุด ๕
ลำดับแรกในปี ๒๕๕๒ คือ กรมที่ดิน ๗๒.๒๒% องค์การบริหารส่วนตำบล ๖๘.๕๒% องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๖๐.๕๒% ตำรวจทางหลวงและจราจร ๕๙.๐๘% นักการเมืองที่มีอิทธิพล ๔๔.๗๖%
และได้รายงานผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ในบทความฉบับเดียวกันว่า
มีประชาชนถึง ๘๔.๕ % มองว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ
ขณะเดียวกัน ๕๑.๒ % ยังยอมรับได้ที่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น โดยคิดว่า
ทุกรัฐบาลมีการทุจริตคอร์รัปชั่น
ถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศรุ่งเรืองประชาชนกินดีอยู่ดีก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
เมื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาสองครั้งที่เวลาห่างกัน ๑ ปีเศษ จะเห็นว่า
สถานการณ์ด้านการทุจริตในประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ทั้งหน่วยงาน พฤติกรรม
และทัศนคติ อีกทั้งยังมีรูปแบบที่หลากหลายและชัดเจนมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่า
การบริหารราชการแผ่นดินของเรา “รั่วไหล” มากขึ้น
บางประเด็นอาจจะมีการเปลี่ยนตำแหน่ง “แชมป์” การรับสินบนกันบ้าง
และมีหน่วยงานใหม่เพิ่มขึ้น คล้ายกับลัทธิเอาอย่าง โดยไม่มี “หิริ โอตัปปะ” หรือ
“ละอายชั่ว กลัวบาป” กันเลย
สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด
คือ ทัศนคติของนักธุรกิจที่ว่า
“จ่ายสินบนเพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐต่ำกว่าร้อยละ ๒
ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจและไม่เกิดผลในแง่ลบ” และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
เพราะวิธีคิดของท่านมองข้าม “ประโยชน์สุข” ของประชาชนไปอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้เพราะการที่ท่านจ่ายเพื่อสนับสนุนการทุจริตประพฤติมิชอบให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐร้อยละ
๒ นั้น ถ้าคิดเป็นตัวเงินจากงบลงทุนของประเทศในปีงบประมาณ ๒๕๕๔ จำนวน ๓๔๔,๔๙๕.๑
ล้านบาทแล้ว จะเป็นจำนวนเงินที่สูงมากถึง ๖,๘๘๙.๙๖ ล้านบาท
ซึ่งถ้าไม่รั่วไหลแล้วจะสามารถนำไปสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนในเรื่องต่างๆ
ได้อย่างมากมาย
และเมื่อเทียบกับงบประมาณทั้งหมดจำนวน ๒.๐๗ ล้านล้านบาท
รวมทั้งเงินที่รัฐวิสาหกิจใช้จ่ายแล้ว จำนวนเงินที่รั่วไหลจากตัวเลขร้อยละ ๒
ที่นักธุรกิจ “รับได้” นั้น เป็นเรื่องที่ประชาชน “รับไม่ได้”
นอกจากนั้น ข้าราชการในหน่วยงานที่ถูกกล่าวถึงในรายงานนี้ก็ควรจะ
“รับไม่ได้” ด้วย เพราะศักดิ์ศรีของข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ถูกปลูกฝังให้ทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ถูกซื้อและทำลายได้ด้วย “เศษเงิน” เพียงเล็กน้อยของนักธุรกิจ
ในเรื่องนี้คณะกรรมาธิการศึกษาเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา ได้ศึกษาและพบว่า หลายประเทศได้ปรับปรุงกฎหมาย
“การให้และรับสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
และใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ
ซึ่งได้ผลกว่ามาตรการป้องกันการ “ฮั้วประมูล” ที่ใช้อยู่
มาถึงจุดนี้คงต้องผ่านแนวคิดนี้ไปยังรัฐบาลท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า “สะอาด” ลองศึกษากฎหมายการให้และรับสินบน (Bribery Act) ของประเทศต่างๆ และผลักดันให้เป็นกฎหมายอย่างจริงจัง
ก่อนที่มหันตภัยที่ร้ายแรงนี้จะทำลายชาติจนย่อยยับ
นอกจากนั้น ท่านนายกรัฐมนตรีต้องใช้ “พลัง”
ผลักดันให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ๒
ฉบับที่ใช้เป็นเครื่องมือในการปราบคอร์รัปชั่นที่ค้างอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร คือ
กฎหมาย ป.ป.ช.ที่กำลังตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภาอยู่ในขณะนี้ และกฎหมาย
ส.ต.ง.ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเพิ่งเสนอเข้าไปใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา
๑๓๙ ผ่านความเห็นชอบของสภาทั้งสองก่อนที่ท่านจะพ้นจากตำแหน่ง
และประการสุดท้าย
ท่านนายกรัฐมนตรีต้องไม่ลืมตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
(ป.ป.ท.) ด้วยนะครับ เพราะประชาชนเขา “รอ” อยู่นานแล้ว
------------------
เขียนให้ “โพสต์ทูเดย์”
๑๘ ต.ค.๕๓
ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 12:00:57 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 00:00:00 มีการเปิดอ่าน 2584 ครั้ง Share