กองทัพไทย
“กองทัพไทย”
พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์
เลขานุการคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา
วันอังคารที่ ๑๘
มกราคมที่ผ่านมา เป็น “วันกองทัพไทย”
ซึ่งในตอนเช้ากองบัญชาการกองทัพไทยได้จัดพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันกองทัพไทยที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กองบัญชาการกองทัพไทย และที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ดอนเมือง
เพื่อเตือนใจให้ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมใจกันน้อมรำลึกถึงวีรกรรม และคุณงามความดีนักรบไทย ที่ได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต
ปกป้องชาติไทยให้รอดพ้นจากภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น
มาจนถึงทุกวันนี้
และมีพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของวีระบุรุษทหารกล้า
ที่สละชีวิตของตนเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติให้ดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันด้วย
ในตอนบ่ายมีการประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ณ ที่ตั้งหน่วยทหารของแต่ละเหล่าทัพ ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งสำหรับ “ทหารใหม่”
ที่ผ่านการฝึกจนมีสภาพพร้อมทำการรบแล้ว
โดยทุกคนจะเปล่งวาจาปฏิญาณตนต่อธงไชยเฉลิมพลที่หน่วยทหารได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงเป็นเสมือนการปฏิญาณตนต่อพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“องค์จอมทัพไทย” ว่า พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจรักษาเอกราชและอธิปไตยของประเทศตามหน้าที่ของตน
โดยคำปฏิญาณตนที่ทหารทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติ มีข้อความดังนี้
ข้าพเจ้า
(ยศ)....(ชื่อ).............(นามสกุล).........ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณตนว่า
ข้าพเจ้า จักยอมตายเพื่ออิสรภาพและความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า
จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า
จักเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า
จักรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ข้าพเจ้า
จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม
ข้าพเจ้า
จักไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด
สำหรับประวัติของกองทัพไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
โดยมีหลักการจัดการทหารที่ถือว่าพลเมืองชายทุกคน ต้องมีหน้าที่เป็นทหาร
ยามสงบบรรดาชายฉกรรจ์เหล่านั้น มีฐานะเป็นพลเรือนประกอบสัมมาอาชีพ
แต่ในยามศึกสงคราม
จะเปลี่ยนสภาพเป็นทหารเข้าประจำกองทัพเพื่อรบพุ่งกับข้าศึก
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปีพุทธศักราช ๑๙๙๑ ตรงกับ รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ได้มีการแบ่งแยกกิจการทหารกับพลเรือนออกจากกัน
ฝ่ายทหารทรงแต่งตั้งสมุหกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชา มีการจัดกำลังแบ่งเป็น ๔ เหล่า ได้แก่ ราบ (เดินเท้า) ม้า รถ ช้าง หรือที่เรียกว่า “จตุรงคเสนา”
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๐๘๑ ในรัชสมัยพระชัยราชาธิราช
ได้มีการใช้อาวุธที่ทันสมัยในกองทัพ
โดยใช้ปืนไฟในการรบกับพม่าเป็นครั้งแรกที่เมืองเชียงกราน และในปีพุทธศักราช ๒๑๙๙
ได้ริเริ่มสร้างปืนไฟขึ้นใช้เอง
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
มหาอำนาจตะวันตกเริ่มเข้ามาขยายอิทธิพลในทวีปเอเชียในยุคล่าอาณานิคม
กองทัพไทยจึงมีการจัดทำบัญชีพลที่รัดกุมยิ่งขึ้น
เพื่อให้ทราบจำนวนไพร่พลที่แน่นอนและง่ายแก่การควบคุมบังคับบัญชาในยามเกิดสงคราม
เนื่องจากประเทศไทยของเรา
มีราชอาณาเขตจรดทะเลและมีดินแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
จึงจำเป็นต้องมีทั้งกำลังทางเรือและกำลังทางบกไว้เพื่อปกป้องราชอาณาจักร
โดยในระยะแรกนับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา ไม่มีการแบ่งแยกทหารบกและทหารเรือ
ใช้กองทัพในลักษณะรวมการปกป้องประเทศชาติตามแต่ว่าจะมีภัยรุกรานจากทางด้านใด
จนกระทั่งในรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ได้เริ่มนำแนวคิดการนำการจัดกองทัพแบบตะวันตกมาใช้
เพื่อปรับปรุงกิจการทหารบกและทหารเรือ โดยจ้างทหารต่างประเทศเข้ามาพัฒนากองทัพ
การจัดระเบียบกองทัพไปสู่ความทันสมัยที่แท้จริง เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยทรงนำแบบอย่างการจัดแบ่งหน่วยทหารจากสิงคโปร์และปัตตาเวีย มาแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมกับประเทศไทย เช่น การจัดแบ่งหน่วยทหารในกองทัพเป็นทหารบกและทหารเรือ ปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพ
ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมการบังคับบัญชาทหารบกทหารเรือเป็นกรมยุทธนาธิการ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ ซึ่งต่อมาคือกระทรวงกลาโหม นอกจากนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๘ มีการจัดตั้งกรมเสนาธิการทหารบกเป็นครั้งแรก พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนนายเรือ การจัดซื้อและสร้างเรือรบ ตลอดจนทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาวิชาทหาร ณ ทวีปยุโรป ทำให้กองทัพไทยมีรากฐานในการพัฒนาสู่ความทันสมัยมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนทหารอากาศนั้น
ได้มีการก่อตั้งภายหลังเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบิน
โดยเป็นหน่วยบินของทหารบกในปีพุทธศักราช ๒๔๕๗
และยกฐานะเป็นกองทัพอากาศในปีพุทธศักราช ๒๔๘๐
สิ่งที่สำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ เพื่อสร้าง “นายทหารหลัก” ทำหน้าที่ “ดูแลทุกข์สุขของทหาร และควบคุมนำกำลังทหารเข้าต่อต้านข้าศึก” โดยกำหนดให้มีคุณลักษณะของ “นายทหารหลัก” ๔ ประการ คือ ความรู้ความสามารถในการยุทธสงคราม มีไหวพริบดี มีอัธยาศัยมั่นคง และอยู่ในความเที่ยงธรรม ซึ่งนับได้ว่าเป็นการกำหนด “ค่านิยมของทหารอาชีพ” เป็นครั้งแรก
นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“...การตั้งนายทหารสัญญาบัตรจึงเป็นการสำคัญอย่างยิ่งในราชการทหาร และเนื่องจากการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ หรือผู้มีความชอบ มีไหวพริบดี ขึ้นเป็นนายทหารยังไม่เป็นการเพียงพอ อีกทั้งไม่ได้รับการศึกษาให้มีความรู้ความสามารถในการยุทธสงครามอีกด้วย...”
จากพระราชดำรัสนี้จะเห็นว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถในเรื่องการยุทธการสงครามของนายทหารมากกว่าความชอบด้านอื่นหรือแม้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ตาม เพราะผู้บังคับบัญชาทหารต้องมีคุณลักษณะพิเศษที่เหมาะสมกับภารกิจที่อาจแตกต่างกัน ไม่ใช่แต่งตั้งกันตาม “อำเภอใจ” ของผู้มีอำนาจ
ดังนั้น จึงเป็นการสมควรที่ทหารในยุคปัจจุบันจะรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมน้อมนำพระราชดำรัสนี้ ไปใช้เป็นหลักในการบริหารกองทัพด้วย
มาถึงวันนี้
บทบาทของทหารที่เคยเป็นกำลังหลักในการรักษาอธิปไตยของชาติตลอดมา ได้เปลี่ยนเป็น
“เครื่องมือชิ้นสุดท้าย” ในระบบการบริหารของรัฐสมัยใหม่ในระบอบประชาธิปไตย
ที่ต้องใช้ “นักการเมือง” ที่มีคุณภาพ
มากำหนดนโยบายการเมืองภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ
ซึ่งเป็นกลไกหลักในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยมีปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และพลังงาน
เป็นพลังอำนาจของชาติที่ต้องจัดเตรียมไว้
เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
สิ่งที่สำคัญของรัฐสมัยใหม่ในระบอบประชาธิปไตย คือ ต้องมี “ยุทธศาสตร์ชาติ”
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ คือ ความมั่นคง ความมั่งคั่ง
และความมีเกียรติ์ศักดิ์ศรีในเวทีการเมืองโลก
ที่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และประสานสอดคล้องกันระหว่างกำลังอำนาจของชาติด้านต่าง ๆ
โดยมีผู้บริหารประเทศที่มาจาก “นักการเมือง” เป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบทของสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ซึ่งบุคคลผู้นี้ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในงานความมั่นคงของชาติระดับ “มืออาชีพ” ประเทศชาติจึงจะดำรงคงอยู่ได้
บทเรียนจากความผิดพลาดในการบริหารงานด้านความมั่นคงภายในประเทศเมื่อต้นปีก่อน
จนต้องใช้เครื่องมือชิ้นสุดท้ายโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ทำให้ขาดความพร้อมจนเกิดการสูญเสียมากเกินคาด
และการบริหารสถานการณ์ชายแดนในช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งไม่ค่อยประสานสอดคล้องกันนัก
ปัจจัยเหล่านี้ เป็นสิ่งบอกเหตุที่ผู้บริหารกองทัพไทยต้องหันกลับมาทบทวน
“ยุทธศาสตร์ทหาร” ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และเตรียมกำลังทหารให้พร้อมตามยุทธศาสตร์เหล่านั้น
รวมทั้ง ต้องกล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง “เตือน”
ผู้บริหารประเทศที่อาจไม่รู้ธรรมชาติและศักยภาพของกองทัพที่แท้จริง
ก่อนที่จะต้องใช้ “เครื่องมือชิ้นสุดท้าย”
โดยไม่จำเป็นและไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
------------------
เขียนให้ “โพสต์ทูเดย์”
๒๔ ม.ค.๕๔
ข้อมูลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 09:31:18 ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 00:00:00 มีการเปิดอ่าน 2586 ครั้ง Share